เรียนภาษาอังกฤษ และทำงานที่ ดูไบ

น้องๆหลายคนที่กำลังมองหาประเทศที่เหมาะสำหรับการไปเรียนภาษาอังกฤษ และทำงานไปด้วยได้ ค่าครองชีพไม่สูง ค่าเรียนไม่แพงด้วย คงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ น้องๆอาจจะเคยได้ยินคำว่า เศรษฐีดูไบ ซึ่งคำนี้มันมีที่มาจากที่ดูไบ เป็นเมืองท่าที่มีอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสูงมาก คนในประเทศส่วนมากจึงค่อนข้างมีชีวิตที่ค่อนข้างมั่งคั่ง และสุขสบาย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทั้งเมืองดูไบ เพราะดูไบ มีวิถีชีวิตต่างกันในโซนเมืองเก่า และโซนเมืองใหม่ ซึ่งโซนเมืองเก่าก็จะเป็นโซนวิถีชีวิตชาวบ้าน ไม่ค่อยมีตึกสูงระฟ้า ส่วนโซนเมืองใหม่ก็จะเต็มไปด้วยตึกสูง ความทันสมัยก็จะอยู่ในโซนนี้ทั้งหมดเลย

ดูไบ เป็น 1 ใน 7 รัฐ ของหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)  หลายๆคนอาจจะคิดว่าดูไบเป็นเมืองหลวง แต่จริงๆไม่ใช่ค่ะ  เมืองหลวงของ UAE คือเมืองอาบูดาบี สำหรับดูไบถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุด และมีประชากรมากที่สุดใน UAE นอกจากนี้ดูไบเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองหลวงแห่งความบันเทิงของตะวันออกกลาง ซึ่งดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบงานปาร์ตี้จำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก  ซึ่งมีนักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติมาเที่ยวและทำธุรกิจอยู่ในเมืองนี้ จึงถือได้ว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งบนโลก 

ข้อมูลน่ารู้ของการเรียนภาษา และทำงานที่ ดูไบ

เมืองดูไบเป็นยังไง มาทำความรู้จักแบบลึกๆกันดีกว่า

ดูไบไม่มีแม่น้ำหรือโอเอซิสตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ดูไบก็ยังมีคลองดูไบ หรือที่เรียกว่า ดูไบ ครีก (Dubai Creek)  ซึ่งขุดลอกโดยเรือ ซึ่งลึกพอที่เรือขนาดใหญ่จะสามารถแล่นผ่านได้ตลอดเส้นทาง  โดยคลองดูไบ จะทอดตัวผ่านตัวเมือง และแบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งเมืองเก่า Bur Dubai (بر دبي) และฝั่งเมืองใหม่ Deira (ديرة)  

ในฝั่งเมืองเก่า หรือ ฝั่งเบอร์ ดูไบ Bur Dubai (بر دبي) จะมียังคงความวิถีชีวิตแบบเก่าแก่ ผู้คนยังเดินทางไปมาด้วย Abra ซึ่งเป็นเรือข้ามฟากที่ทำจากไม้   และใกล้ท่าเรือ จะมีตลาดเครื่องเทศ” (Spice Souk), ตลาดทอง” (Gold Souk) ซึ่งถือเป็นตลาดทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก  ตึกหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ จะเป็นแบบเก่าแก่ ที่สวยงาม เช่น พิพิธภัณฑ์ดูไบ (Dubai Museum) ซึ่งจัดแสดงอยู่ในป้อมปราการอัลฟาฮิดิ (Al Fahidi) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี 1787 เป็นต้น

ส่วนในเมืองฝั่งเมืองใหม่ หรือฝั่งเดรา Deira (ديرة)  จะเต็มไปด้วยอาคารทันสมัย ตึกสูง สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก โรงแรม รวมถึงโรงเรียนสอนภาษา ถือย่านที่เป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ 

หลายๆคนคิดว่า ดูไบเป็นเมืองทะเลทราย ต้องร้อนแน่ๆ  ซึ่งก็จริงค่ะ บริเวณทะเลทราย ร้อนจริง  แต่ในตัวเมืองไม่ได้ร้อนขนาดนั้น!   
ที่ดูไบมี 2 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูหนาว

  • ฤดูร้อน ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ช่วงที่อากาศร้อนที่สุดคือเดือนสิงหาคม 
    มีอุณหภูมิเฉลี่ยกลางวันประมาณ 40-42 องศาเซลเซียส และตอนกลางคืนมีอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส  อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ประมาณ 48.8 องศาเซลเซียส
  • ฤดูหนาว ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดคือเดือนมกราคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยกลางวันประมาณ 23-24 องศาเซลเซียส และตอนกลางคืนมีอุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิต่ำสุดที่เคยวัดได้คือ 7 องศาเซลเซียส ในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม อาจจะมีฝนตกบ้างแต่มีปริมาณน้อย ประมาณ 150 มิลลิเมตร (6 นิ้ว) ต่อปี

ภาษาอารบิกจะเป็นภาษาราชการภาษา  แต่เนื่องจากประชากรกว่า 90% เป็นชาวต่างชาติ ที่มาอาศัยอยู่ในดูไบ ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นอีกภาษาที่คนส่วนใหญ่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้  ป้ายต่างๆ มีการบอกเป็นภาษาอาหรับและอังกฤษ

ส่วนสกุลเงินที่ใช้กัน คือ ดีแรห์ม มีตัวย่อภาษาอังกฤษสองแบบ คือ AED และ Dhs โดยอัตราแลกเปลี่ยน 1 AED ประมาณ 8.25 บาทไทย  (ข้อมูลอัตราแลกเดือนมีนาคม 2564)

ประชากรในดูไบ ในปี 2019 มีประมาณ 3.3 ล้านคน โดยมีประชากรที่เป็นชาวพื้นเมือง (Native Residents) 15%, ชาวอาหรับประมาณ 2  ซึ่งประกากรส่วนใหญ่ กว่า 85% เป็นชาวต่างชาติ  โดยส่วนมากเป็นชาวเอเชีย 71% เช่น อินเดีย,ปากีสถาน. บังกลาเทศ,ฟิลิปปินส์ และมีชาวตะวันตกประมาณ 5% เช่น ชาวอังกฤษ มีมากกว่า 100,000 คน

ข้อมูลอ้างอิงจาก : wikipedia.org

วัฒนธรรมของดูไบมีรากฐานมาจากศาสนาอิสลาม อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับและอิสลามที่มีต่อ สถาปัตยกรรม ดนตรี เครื่องแต่งกาย อาหารและวิถีชีวิตจึงโดดเด่นมาก แต่เนื่องจากมีชาวต่างชาติมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก  ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีการเปิดกว้างสำหรับทุกวัฒนธรรม  ในขอบเขตว่านักท่องเที่ยวก็ยังคงต้องเคารพประเพณีของชาวมุสลิม

สำหรับที่ดูไบ จะมีวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันศุกร์ – วันเสาร์  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อความศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม

เทศกาลเดือนถือศีลอด (รอมฎอน) รอมฎอนเป็นเทศกาลประจำปีตามปฏิทินมุสลิม ซึ่งมีระยะเวลา 30 วัน และจะเลื่อนเร็วขึ้นทุกปีเป็นเวลา 10 วัน ขึ้นอยู่กับผลการสังเกตพระจันทร์ของทางการยูเออี
ในช่วงรอมฎอน ผู้นับถือศาสนาอิสลามจะงดอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไปจนถึงพระอาทิตย์ตก เป็นผลให้ร้านอาหารต่าง ๆ และร้านกาแฟปิดทำการในช่วงกลางวัน ยกเว้นร้านอาหารตามโรงแรมบางแห่งที่ยังคงเปิดให้บริการ ซึ่งต้องสอบถามเป็นรายกรณีไป ร้านค้าส่วนใหญ่มักปิดทำการช่วงกลางวัน โดยจะเริ่มเปิดทำการหลังเวลา 20.00 น. ไปจนถึงกลางดึก แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ยังคงเปิดทำการทั้งวันตามปกติ สำหรับส่วนราชการและธนาคาร ยังคงเปิดให้บริการในช่วงกลางวัน แต่อาจปิดทำการเร็วขึ้น การดื่มน้ำและรับประทานอาหารในที่สาธารณะในช่วงรอมฎอน แม้จะไม่ใช่โดยผู้นับถือศาสนาอิสลาม ก็ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายหากมีผู้พบเห็นและร้องเรียน
ที่มาจาก : abudhabi.thaiembassy.org

เนื่องจากที่ดูไบมีประชากรมาจากหลากหลายเชื้อชาติ ดังนั้นจะไม่ได้เคร่งเรื่องการแต่งกายสำหรับนักเรียนหรือนักท่องเที่ยวมากนัก  สามารถแต่งตัวตามปกติ ไม่ต้องคลุมศรีษะก็ได้ เพียงแต่ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมกับสถานที่ต่างๆตามกฏของเขา เช่น 

  • ถ้าอยู่ภายในบ้านหรือภายในห้องของเราในโรงแรม เราสามารถใส่อะไรก็ได้
  • ถ้าเดินอยู่หรือไปตามสถานที่สาธารณะ เช่น โรงภาพยนตร์ ตลาด ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือบริเวณสาธารณะในโรงแรม ควรแต่งตัวให้ถูกต้องและเหมาะสม คือ ควรใส่เสื้อแขนยาว หรือมีผ้าคลุมไหล่ ใส่กางเกงหรือกระโปรงที่คลุมเข่าลงไป
  • ถ้าอยู่ภายในโรงเรียน หรือที่ทำงาน ก็ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมขึ้นกับกฏขององค์กรนั้นๆ  บางโรงเรียนสามารถใส่เสื้อแขนสั้น หรือแขนยาวก็ได้  ส่วนใส่กางเกงหรือกระโปรงที่คลุมเข่า
  • ถ้าไปมัสยิดหรือสถานที่ทางศาสนา  ผู้หญิงควรใส่ชุดคลุมยาว เรียกว่า Abaya  และคลุมผม ส่วนผู้ชายก็ควรใส่ชุดคลุมสีขาวเรียกว่า Kandura  *ห้ามใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อแขนกุด
  • ชุดว่ายน้ำ  สามารถใส่ชุดว่ายน้ำหรือบิกินี่ได้ แต่ควรใส่บริเวณรอบสระว่ายน้ำหรือที่ชายทะเล  หากออกนอกบริเวณสระว่ายน้ำหรือชายทะเล ควรเปลี่ยนเป็นชุดอื่นที่เหมาะสม

ลักษณะการแต่งการของชาวเอมิราติหรือชาวมุสลิม  ผู้หญิงจะสวมชุดคลุมยาวถึงข้อเท้าเรียกว่า Abaya  และมีการใช้ผ้าคลุมศีรษะ เปิดเผยใบหน้ามากน้อยขึ้นกับความเคร่งในศาสนาของแต่ละคน  
ส่วนผู้ชาย ส่วนใหญ่จะแต่งตัวปกติ เป็นกางเกงขายาวและเสื้อคลุมไหล่ หากเป็นชุดทางการจะแต่งเป็นชุดคลุมสีขาวยาวถึงข้อเท้า เรียกว่า Kandura และมีผ้าคลุมศรีษะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก : wikihow.com

  • อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่เน้นหนักไปทางเนื้อสัตว์ ธัญพืช อาหารของประเทศนี้ส่วนใหญ่ใช้ ปลา ข้าว และเนื้อสัตว์ โดยเนื้อสัตว์ที่ใช้คือ แพะ เนื้อวัว และเนื้อแกะ เป็นส่วนใหญ่ อาหารเช้าจะมีขนมปังเสิร์ฟคู่กับไข่ และชีส อาหารยอดนิยม เช่น
  • Kebab Kashkash คือ อาหารจานเดียวซึ่งมีเนื้อสัตว์ในซอสมะเขือเทศ มีรสชาติเผ็ด
  • Harees เป็นอาหารอาหรับซึ่งผสมเกลือ เนื้อสัตว์และข้าวสาลี
  • Shawarma เป็นแซนวิชซึ่งห่อด้วยเนื้อแกะ เนื้อไก่ หรือบางครั้งใช้เนื้อวัว
  • Ghuzi เป็นอาหารจานเดียวซึ่งทำจากถั่ว ข้าวและเนื้อแกะย่าง

นอกจากนี้ ก็ยังมีร้านอาหารหลากหลายร้าน หลากหลายสไตล์บริการนักท่องเที่ยวอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น อาหารไทย เวสเทิร์น และร้านอาหารอื่นๆอีกมากมาย

  • เนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์อาหารที่มีหมูเป็นส่วนประกอบ สามารถซื้อได้จากซูเปอร์มาร์เก็ตที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายเท่านั้น ซึ่งได้แก่เครือ Spinneys, Abela และ Waitrose
    สามารถกินได้ในร้านอาหารที่ได้รับอนุญาต หรือในที่พัก ไม่ควรกินบริเวณที่สาธารณะ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้ถูกห้ามในดูไบ แต่ต้องดื่มในพื้นที่ เช่น โรงแรม บาร์ หรือไนท์คลับ ผู้ที่ซื้อกินเองจะต้องมีใบอนุญาตจึงจะสามารถซื้อได้ ซื้อได้ตามร้านที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย เช่น Spinneys และ African and Eastern เป็นต้น ไม่สามารถดื่มบนถนน หรือในสถานที่สาธารณะ เพราะมันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และผู้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป

ที่มาจาก : abudhabi.thaiembassy.org และ leelawadee.holiday

ดูไบอยู่ใน Top10 ที่เป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ในสถานที่ต่างๆ มักจะติดกล้องวงจรปิด และมียามคอยดูแลความปลอดภัย เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า   เป็นต้น  ที่นั่นจะมีมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลมาตรฐานการครองชีพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จนแทบปราศจากโจรผู้ร้ายหรือการฉกชิงวิ่งราว   

ข้อดีของการไปเรียนภาษาที่ดูไบ มีอะไรบ้าง?

  1. วีซ่านักเรียนของ่ายมาก ไม่ต้องใช้แบงก์สเตทเม้น
  2. วีซ่านักเรียนสามารถทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ ทำงานได้ไม่จำกัดเวลา
  3. หากได้งาน Full-time สามารถอยู่ต่อทำงานด้วยวีซ่าทำงานได้
  4. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการทำงาน
  5. เป็นเมืองทีมีความปลอดภัยสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก
  6. ค่าครองชีพไม่สูงมากนัก ประมาณ 20,000 – 35,000 บาท/เดือน
  7. เดินทางจากประเทศไทย บินตรง 6 ชม. และเวลาต่างกันเพียง 3 ชม. จึงไม่ต้องปรับตัวมาก

ค่าครองชีพที่ดูไบ แพงไหม?

  • ค่าอาหาร ตัวอย่างเช่น
    • อาหารในร้านอาหารราคาไม่แพง  35 AED
    • McMeal ของ McDonalds 30 AED
    • น้ำดื่ม (1.5 liter bottle)   2.25 AED
    • เนื้อไก่ 1 กิโลกรัม   25.77 AED
    • ข้าว 1 กิโลกรัม 6.98 AED

ที่มา https://www.numbeo.com

  • ค่าที่พัก

ค่าที่พักจะขึ้นอยู่กับชนิดห้อง และlocation ที่พัก ตัวอย่างเช่น  Student Residence หรือ หอพักนักเรียน เรทราคาจะมีตั้งแต่ 1800 – 3000 AED ต่อเดือน เช่น KSK Home ห้องนอนเดี่ยว ราคา  2945 AED /เดือน  และห้องนอนแชร์ 2 คน 1894 AED/Month
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่พักนักเรียน

การเดินทาง และค่าเดินทางที่ดูไบ

ที่ดูไบสามารถมีเดินทางได้หลายวิธี เช่น รถบัสประจำทาง , รถไฟใต้ดิน , Dubai Ferry, Taxi, Uber

รถไฟใต้ดิน Dubai Metro รถไฟใต้ดินดูไบถือเป็นหนึ่งในระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัยและคุ้มค่าที่สุดในโลก  ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองดูไบ เหมาะกับนักท่องเที่ยว นักเรียน โดยแบ่งออกเป็น 2 สาย ได้แก่ สายสีแดง (28 สถานีที่ทอดระหว่าง Al Rashidiya และ UAE Exchange)  ให้บริการเส้นทางใจกลางเมืองไปตามถนนชีคซาเอด (Sheikh Zayed Road) และสายสีเขียว (20 สถานีที่ครอบคลุมจากภูมิภาค Etisalat ไปยัง Dubai Creek)  
สามารถเช็คตารางการเดินทางและราคาที่เว็บไซต์  https://www.rta.ae/wps/portal/rta/ae/public-transport

**แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว: ตั๋ว NOL Red 
อายุการใช้งาน : 90 วันสำหรับการเดินทางเดี่ยวสูงสุด 10 ครั้งหรือตั๋ว 5 วัน
รูปแบบการขนส่งสาธารณะ: รถประจำทาง  รถไฟใต้ดิน  หรือรถบัสน้ำ
ค่าใช้จ่าย: ตั้งแต่ 2 AED ขึ้นอยู่กับโซนและจำนวนการเดินทางที่คุณเลือก
ข้อดี:คุณสามารถกำหนดจำนวนการเดินทางและโซนที่คุณต้องการเดินทางได้ในขณะที่ซื้อ จำนวนเงินที่จ่ายในตั๋วนี้สามารถเติมได้ตลอดเวลาที่เครื่องจำหน่ายตั๋ว
ข้อเสีย:ตั๋วนี้สามารถใช้ได้กับการขนส่งรูปแบบเดียวเท่านั้น (เช่นรถไฟใต้ดินหรือรถบัส) 

ที่มา : https://www.turbopass.com

โรงเรียนภาษาแนะนำที่ ดูไบ

โรงเรียน ESDubai

เว็บไซต์ : http://esdubai.com
ตั้งอยู่ที่ : 1507 BB1 Mazaya Business Avenue, Jumeirah Lake Towers, Dubai, United Arab Emirates

จุดเด่นของโรงเรียน

  • โรงเรียนสอนภาษาของเอกชน มีชื่อเสียง มีการเรียนการสอนที่ดีและมีคุณภาพ ครูผู้สอนผ่านการคัดเลือกอย่างดี เป็นเจ้าของภาษา (Native speaker) มาจากหลากหลายประเทศ เช่น Canada UK USA เป็นต้น
  • โรงเรียนตั้งอยู่ที่ Jumeirah Lakes Tower (JLT) ใจกลางย่าน New Dubai ซึ่ง เป็นย่านธุรกิจ มีห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ
  • จำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนไม่เยอะ เฉลี่ย 10 คนต่อชั้นเรียน (มากสุด 18 คน)
  • เริ่มเรียนทุกๆวันอาทิตย์ โดยจะเรียนวันอาทิตย์ – พฤหัสบดี โดยหลักสูตรที่นิยมคือ General English แบบ Semi Intensive (เรียน15บทเรียน) เรียนวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งมีตารางเรียน 3 ช่วงเวลา ได้แก่
    • 9:00am to 11:45am
    • 12:00pm to 3:00pm
    • 3:15pm to 6:00pm
  • มีเจ้าหน้าที่คนไทย คนให้คำแนะนำและดูแลนักเรียนไทยระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนด้วย
  • มีกิจกรรมเยอะ และมีทริปไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่นักเรียนสามารถร่วมได้  เช่น  Dubai Aquarium, Ferrari world, Desert Safari เป็นต้น

สิทธ์ในการทำงานที่ดูไบ

นักเรียนที่ไปเรียนที่ดูไบ 12 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ โดยสามารถทำงานหลังเลิกเรียนหรือในวันหยุดได้ไม่จำกัดชั่วโมง  เมื่อนักเรียนได้งาน ทางโรงเรียนจะออกจดหมาย NOC หรือ No objection Certification เป็นเอกสารรับรองว่านักเรียนทำงานเพื่อฝึกภาษา

  • งาน part-time ชมละ 100-400 บาท ถ้าเป็นงานพวก ร้านอาหาร 100-200 บาทต่อชม งานขายของตามหาด 400 บาทต่อชั่วโมง  ช่วง High Season เดือนตุลาคมถึงมีนาคม เป็นช่วงที่มีงานอีเว้นเยอะ งานจะเยอะ รายได้ 100-450 บาท/ชั่วโมง
    *การหางาน Part-time ไม่ได้หายากจนเกินไป ถ้าไม่เลือกงาน และถ้าใครมีทักษะภาษาอังกฤษ ที่สามารถสื่อสารได้ในระดับหนึ่ง  ก็จะมีโอกาสในการได้ง่ายมากขึ้น
  • งานแบบ full-time หรืองานประจำในโรงแรม มีค่อนข้างเยอะ หากเราสมัครงานและได้งานประจำทำ บริษัทหรือโรงแรมที่รับเข้าทำงาน จะออก work permit และทำวีซ่าให้  รายได้ประมาณ 2-3หมื่นบาท โดยจะมีสวัสดิการ เช่นมีที่พัก มีอาหาร และจ่ายค่าวีซ่าให้

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

1.หมู่เกาะต้นปาล์ม (The Palm) : เกาะจำลองบริเวณอ่าวเปอร์เซียในดูไบที่ถมขึ้นเป็นรูปต้นปาล์ม ถือเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยหมู่เกาะต้นปาล์มประกอบไปด้วยเกาะ 3 เกาะ ได้แก่ ปาล์มจูไมราห์ (Jumeirah), ปาล์มเดียรา (Deira) และปาล์มเจเบล อาลี (Jebel Ali)

2.บุรญุลอะร็อบ (Burj Al Arab) : โรงแรมสุดหรูระดับ 7 ดาว ที่ได้รับการออกแบบให้เหมือนใบเรือ และขึ้นชื่อว่าเป็นโรงแรมราคาแพงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนปาล์มจูไมราห์ (Jumeirah)

3.บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) : เป็นอาคารสูง 828 เมตร ที่มีทั้งหมด 163 ชั้น เคยได้รับการครองแชมป์ตึกที่สูงที่สุดในโลกมาแล้ว มีจุดชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชั้น 124 – 125 และชั้น 148 บริเวณด้านหน้าตึกเป็นที่ตั้งของน้ำพุแห่งดูไบ (Dubai Fountain) น้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลก

4.ดูไบมอลล์ (Dubai Mall) : ห้างสรรพสินค้าสุดหรู มีสินค้าแบรนด์เนม เครื่องสำอาง น้ำหอม อัญมณี ทองคำ ต่างๆมากมาย

5. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำดูไบ (Dubai Aquarium & Underwater Zoo) : พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในดูไบมอลล์  

สิ่งที่ควรระวังและควรปฏิบัติ

เมื่อเราไปเรียนหรือเที่ยวที่ดูไบ เราควรเคารพกฎของที่นั่น เช่น

  • เรื่องการแสดงความรักในพื้นที่สาธารณะเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ได้รับการยอมรับของชาวมุสลิม ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
  • เรื่องการแต่งกายให้เรียบร้อยตามวัฒนธรรม และประเพณี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เพราะเราอาจจะทำผิดกฎระเบียบของเขาได้ เช่น การไปท่องเที่ยวมัสยิดหรือแหล่งต่างๆ ที่มีความสำคัญของศาสนา 
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ห้ามนำเข้ายากล่อมประสาทและยานอนหลับ (เช่น แวเลี่ยม ยกเว้นจะมีใบสั่งแพทย์กำกับ) และห้ามนำสื่อลามกอนาจาร ไม่ว่าเป็นหนังสือ วีดีโอ ภาพโป๊เปลือย เข้าประเทศ
  • ไม่ควรแสดงพฤติกรรมที่ส่อถึงการไม่ให้เกียรติผู้หญิงทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่ามีการฝ่าฝืนกฎระเบียบดังกล่าว
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์บนถนน หรือในสถานที่สาธารณะ เพราะมันเป็นสิ่งผิดกฏหมาย
  • ไม่ควรถ่ายภาพสถานที่ราชการต่าง ๆ และสิ่งก่อสร้างสำคัญที่มิใช่สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย  รวมถึงการถ่ายภาพสตรี  ยกเว้นจะได้รับอนุญาตจากเจ้าตัวก่อน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *